“ฮอนด้า” เปิดตัวรถต้นแบบที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฮโดรเจน วิ่งได้ระยะทางมากสุดเกือบ 500 กิโลเมตร ใช้เวลาเติมเชื้อเพลิงเพียง 5 นาที

ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น “ฮอนด้า” เปิดตัวรถต้นแบบที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งบริษัทระบุว่า เป็นการนำเสนอการขับขี่ปลอดมลพิษแห่งอนาคต โดยทั้งฮอนด้า และผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ต่างเห็นว่า ระบบที่คุ้มค่ากับการลงทุน และเชื่อว่า เซลล์พลังงานไฮโดรเจนจะสามารถเข้ามาแทนแบตเตอรีแบบดั้งเดิม ในการขับเคลื่อนรถไฟฟ้าได้

รถต้นแบบรุ่นล่าสุดของฮอนด้า “เอฟซีอีวี” เป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยเซลล์พลังงานไฮโดรเจน ที่ผู้จัดการฝ่ายตลาด “สตีเฟน เอลลิส” บอกว่า เป็นรถยนต์แห่งอนาคตสำหรับการขับเคลื่อนแบบปลอดมลพิษ อัตราการปล่อยมลพิษเท่ากับ 0% แต่สิ่งที่รถยนต์ประเภทนี้แตกต่างจากรถไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรีก็คือ มันสามารถผลิตไฟฟ้าขึ้นมาเองได้

การผลิตไฟฟ้าขึ้นมาเองนั้น ทำให้ เอฟซีอีวี สามารถวิ่งได้ระยะทางมากสุดเกือบ 500 กิโลเมตร ก่อนที่จะจำเป็นต้องเติมเชื้อเพลิงใหม่ อันเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น ตรงข้ามกับรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ ที่ต้องใช้เวลาชาร์จแบตเตอรีนานหลายชั่วโมง

เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน เป็นการนำไฮโดรเจน และออกซิเจน มารวมกัน เพื่อทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าสำหรับการขับเคลื่อนรถยนต์ ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้รถยนต์วิ่งได้นานกว่ารถไฟฟ้าแบบทั่วไปถึง 5 เท่าแล้ว สิ่งที่รถยนต์ประเภทนี้ปล่อยออกมาก็มีแต่ไอน้ำเท่านั้น

คีธ มาลอน ผู้ที่อุทิศตัวเองให้กับเซลล์เชื้อเพลิง เจ้าหน้าที่จากแคลิฟอร์เนีย ฟูเอล เซลล์ พาร์ทเนอร์ชิพ โครงการที่มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีนี้ในสหรัฐ บอกว่า ในสหรัฐนั้น มีการผลิตไฮโดรเจนเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว สหรัฐมีแหล่งทรัพยากรที่สามารถสกัดไฮโดรเจนออกมา รวมถึง ก๊าซธรรมชาติ น้ำ และชีวมวล หรือสิ่งของอย่าง ขยะ และของเสียทางการเกษตร

อย่างไรก็ดี อุปสรรคสำคัญของรถยนต์ประเภทนี้ อยู่ในเรื่องของราคา ที่แพงกว่ารถยนต์ที่ใช้แบตเตอรีอย่างมาก ทั้งยังไม่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับด้วย โดยในปัจจุบันทั่วทั้งสหรัฐ มีสถานีสำหรับเติมไฮโดรเจนเพียง 10 แห่งเท่านั้น

กระนั้นก็ตาม เอลลิส แสดงความเชื่อมั่นว่า ที่สุดแล้ว รถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงจะสามารถหาที่ทางของตัวเองได้เจอ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ทั้งฮอนด้า และค่ายรถยนต์รายใหญ่รายอื่นๆ พากันลงทุนในด้านการวิจัยรถยนต์ประเภทนี้ ซึ่งเอฟซีอีวี คือตัวอย่างของความก้าวหน้าในงานวิจัยดังกล่าว

ที่มาของบทความ

(1786)