เซ็นสัญญา “อุโมงค์บางซื่อ”

แก้ฝนตกน้ำท่วม 6 ถนนเศรษฐกิจ-ลาดพร้าวยันสามเสน

ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการ กทม. วันที่ 12 ก.ย. ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.เป็นประธานการลงนามในสัญญา “โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อ จากคลองลาดพร้าวถึงแม่น้ำเจ้าพระยา” ระหว่างสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร กับ บริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเอนยิเนียริ่ง คอนซัลแตนทส์ จำกัด และบริษัท คอนซัลติ้ง เอนยิเนีย โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าวว่า อุโมงค์ระบายน้ำบางซื่อเป็นอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ของกรุงเทพมหานคร ที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการระบายน้ำในบริเวณที่มีปัญหาน้ำท่วม เริ่มต้นที่บริเวณถนนรัชดาภิเษกใกล้กับคลองลาดพร้าว และระบายน้ำมาตามคลองบางซื่อ ออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดแก้วฟ้า เขตบางซื่อ ครอบคลุมพื้นที่ 56 ตารางกิโลเมตร ใน 6 เขต ได้แก่ ห้วยขวาง ดินแดง จตุจักร พญาไทย ดุสิต และบางซื้อ จะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมเนื่องจากฝนตกหนัก บริเวณถนนสายสำคัญทางเศรษฐกิจ 6 สาย ได้แก่ ถนนพหลโยธิน ช่วงจากสี่แยกสะพานควายถึงห้าแยกลาดพร้าว ถนนวิภาวดีรังสิต ช่วงจากสี่แยกสุทธิสารถึงห้าแยกลาดพร้าว ถนนรัชดาภิเษก ช่วงจากสี่แยกรัชโยธินถึงคลองบางซื่อ ถนนสามเสน ช่วงจากคลองบางกะบือถึงแยกเกียกกาย ถนนลาดพร้าวช่วงจากสี่แยกรัชดาลาดพร้าวถึงคลองบางซื่อ และ ถนนกำแพงเพรช ช่วงจากใต้ทางด่วนศรีรัช ถึงตลาดนัดสวนจตุจักร

ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า โครงการดังกล่าว กทม. ได้ว่าจ้างบริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างในวงเงินค่าก่อสร้าง 2,442,400,000 บาท ซึ่งเป็นเงินอุดหนุนจากรัฐบาลร้อยละ 50 และเงินงบประมาณของกรุงเทพมหานครอีกร้อยละ 50 นอกจากนี้ ได้ว่าจ้างบริษัทเอนยิเนียริ่ง คอนซัลแตนทส์ จำกัด และบริษัทคอนซัลติ้ง เอนยิเนีย จำกัด เป็นที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน ในวงค่าจ้างอีก 41,148,000 บาท ใช้ระยะเวลาดำเนินการ 1,080 วัน จะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน ปี 2559 นอกจากนี้ กทม. ยังมีโครงการที่จะสร้างอุโมงค์ระบายน้ำเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง คือ บริเวณบึงหนองบอน ระยะทาง 9.4 กิโลเมตร ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ และคลองเปรมประชากร ระยะทาง 13.5 กิโลเมตร ฝั่งตะวันตก โดยขณะนี้โครงการก่อสร้างที่บึงหนองบอนนั้นได้ร่างโครงสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่เสนอโครงการต่อรัฐบาลและรออนุมัติงบประมาณในการก่อสร้าง แต่ยังไม่สามารถกำหนดได้แน่นอนว่าจะเริ่มสร้างได้เมื่อไหร่

ที่มาของบทความ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 13 กันยายน 2556

(700)

Comments are closed.