เพราะ “คิด” มาก “พี่มาก” จึง 500 ล้าน

พราะมีทั้งนักแสดงระดับแม่เหล็ก และความเป็นหนังผีกึ่งตลกซึ่งขายได้ ยิ่งมีโลโก้ค่ายหนังอารมณ์ดี จีทีเอช การันตี จึงไม่แปลกหาก พี่มากพระโขนง จะขึ้นแท่นเป็นหนังทำเงิน

ทว่า ที่ประหลาดใจ คือ เหตุใดคนจึงหลงรักพี่มากฯ ถึงขนาดเข้าฉายมาร่วมเดือนก็ยังแรงดีจนกลายเป็นอันดับหนึ่งของหนังไทยที่โกยรายได้เฉพาะกรุงเทพฯและเชียงใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 500 ล้านบาท

“ผมว่าเป็นความลงตัวของภาพยนตร์สมัยใหม่” นนทรีย์ นิมิตบุตร ผู้กำกับ นางนาก ฉบับ 2542 หนังไทยเรื่องแรกที่ทำเงินเกิน 100 ล้านบาท แสดงความคิดเห็นในฐานะแฟนหนัง

โดยความลงตัวนั้นผสมกันระหว่าง “ตำนานดั้งเดิม”, “มุขตลก” และ “ความเป็นแฟนตาซี” ซึ่งเขาว่าต้องชื่นชมผู้กำกับ

“โต้ง (บรรจง ปิสัญธนะกูล) ฉลาดมากที่เอาเรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แล้วมาใช้ความครีเอทีฟไปพัฒนาให้มีหน้าตาแบบใหม่”

เปลี่ยนเรื่องจากมุม “แม่นาค” ให้คนดูได้ฟัง “พี่มาก” เล่าบ้าง

ทั้งยังรวมความเป็นสมัยใหม่เข้าไปในเรื่องโบราณได้อย่างกลมกลืน

“มันทำให้คนเชื่อและก็ไปได้สุด” เขาว่า

ดังนั้น เมื่อดูหนังขณะที่กำลังกลัวยังได้ซาบซึ้งกับความรักและฮามุขตลก ครบรสจนเขาต้องยกให้เป็น “ความบันเทิง” ของจริง

แถมโชคดีมาได้ถูกจังหวะช่วงที่ผู้ชมรู้สึกโหยหาความแปลกใหม่ในยุคหนังไทยซึ่งคนนิยมทำของเลียนแบบ

เช่นที่ผู้กำกับดังว่า “ไม่มีหนังแบบนี้ในเมืองไทยมานานมากแล้ว เป็นหนังที่ให้ความสนุกสนานแบบจริงใจ แบบไทยๆ มันเป็นหนังไทยแท้ เป็นหนังไทยแบบชาวบ้าน”

“บ้านเราทำตามความสำเร็จของคนอื่นมาอยู่ตลอดเวลา เวลาหนังประเภทไหนประสบความสำเร็จ คนก็จะทำหนังประเภทนั้นตามๆกันออกมาอีก จนกว่าจะมีใครลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ๆ เรื่องนี้มันทำให้เราเห็นถึงความสร้างสรรค์ เราก็รอจนวันหนึ่งที่เกิดปรากฏการณ์แบบนี้จริงๆ”
เลยไม่แปลกถ้านนทรีย์จะยกให้พี่มากฯเป็น “พระเอกขี่ม้าขาว”

“เป็นหัวหอกที่จะทำให้หนังไทยกลับมาอยู่ในใจคนไทยได้”

เช่นเดียวกับ วิสูตร พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร จีทีเอช ว่าปรากฏการณ์ “พี่มากฯ” น่าจะสร้างความมั่นใจให้คอหนังไทยอีกครั้ง

แม้ส่วนตัวเขาเชื่อว่าคนจะดูหนัง เพราะความอยาก-ไม่อยาก, คุ้ม-ไม่คุ้ม มากกว่าวัดกันที่การเป็นหนังไทย หรือเทศ

แต่อย่างไรก็อดภาคภูมิใจไม่ได้ เพราะนอกจากเรื่องนี้เรื่องเดียวจะทำเงินมากกว่ารายได้รวมของบริษัททั้งปี ซึ่งทำไว้ 400 ล้านบาท ในปีก่อนแล้ว

ยัง “ดีใจที่หนังไทยขึ้นเป็นที่หนึ่งของประเทศ เหมือนเวลาเราอ่านข่าวญี่ปุ่นเกาหลีว่าทำไมอันดับหนึ่งมีแต่หนังประเทศเขา ทำไมหนังไทยไม่มีเลย แต่ครั้งนี้เราขึ้นท็อปเท็นแถมเป็นที่ 1 ได้อย่างสมภาคภูมิ”

ทว่า กว่าจะภาคภูมิได้อย่างวันนี้หัวเรือใหญ่ออกปาก “ไม่ใช่ความฟลุคแน่นอน”

ด้วยไม่ว่าจะขั้นตอนไหนล้วนแสดงให้เห็นว่าผ่านการ “คิด” มาเป็นอย่างดี

เริ่มตั้งแต่โต้ง-บรรจง ผู้กำกับ ที่แม้จะเลือกหยิบตำนานรักซึ่งคนเฒ่าคนแก่ต่างรู้จักมาทำ แต่ก็ผสมผสานความตลกเข้าสมัยเพื่อเอาใจวัยรุ่น

กลุ่มเป้าหมายของหนังจึงขยายกว้าง จนคนสร้างยังว่า “ไม่เคยมีหนังเรื่องไหนกลุ่มคนดูฐานกว้างขนาดนี้”

กว้างขนาดที่ประเมินว่า “พี่มากฯ” จะมียอดผู้ชมทั้งประเทศอยู่ราวๆ 10 ล้านคน ทำรายได้รวมทั้งประเทศเป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาท หลังหนังจบโปรแกรม

นอกเหนือจากการวางแผนที่ดีแล้ว อีกสิ่งที่ถือว่าสำคัญสุดคือ “เนื้อใน” เขาว่าก็ต้องทำออกมาให้ดี

อย่างการคัดเลือกพระ-นาง ที่มาประกบแก๊ง “เพื่อนมาก” ทั้ง 4

“มาริโอ้ เมาเร่อ เป็นคนที่เหมาะกับบทมาก เขามีกิมมิกที่เป็นลูกครึ่งเหมือนพี่มากในเรื่อง และเป็นนักแสดงที่เล่นหนังดี แต่เขาเองไม่เคยได้แสดงตัวตนชัดเจนในหนังเรื่องไหนๆ เขากล้าทำอะไรหลายอย่างที่พระเอกส่วนใหญ่ไม่ทำ”

ขณะที่ ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่ ได้เรื่องหน้าตา ที่ยกให้เป็นแม่นาคเวอร์ชั่นสวยที่สุด

“แต่ทั้งหลายทั้งปวงไม่สำคัญเท่าแววตาของเขาเวลาเล่นสื่อความหมายได้ดีมาก” เขาว่า

โดยระหว่างถ่ายทำทีมงานก็มีการหยิบประเด็นน่าสนใจประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ไปพลางๆ ไม่ว่าจะทางยูทูบ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ฯลฯ

“เราจัดสรรงบใหม่ ปกติอาจให้น้ำหนักสื่อหลัก 70-80% แต่เดี๋ยวนี้ให้น้ำหนักสื่อออนไลน์ 50% เลย” วิสูตรบอก

ซึ่งได้ผลดีเสียด้วย เพราะกระแสแรงจนรอบปฐมทัศน์มีแต่คนขอบัตรอยากเข้าไปดู ถึงขั้นต้องเปิดโรงให้ชมถึง 2,500 ที่นั่ง และเปิดเฉพาะสำหรับทีมงานอีกรอบ

แต่นั่นถือเป็นข้อดีด้วยก่อให้เกิดกระแส “ปากต่อปาก”

“ใครๆ ก็อยากให้กระแสปากต่อปากดี แต่เราไม่สามารถไปบอกว่าคุณช่วยทวีตบอกกัน เฟซบุ๊กบอกกัน เขาไม่เชื่อเราหรอก ถ้าเนื้อในมันไม่ดี แต่ถ้าดีปากต่อปากจะทำงานต่อเนื่อง โดยเฉพาะในยุคโซเชียลเน็ตเวิร์ก”

จากกระแสเชิงบวกในรอบปฐมทัศน์ พอเข้าฉายจริงเลยเกิดปรากฏการณ์ผู้ชมถล่มทลาย แถมกินระยะเวลาหลายสัปดาห์ ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากการวางโปรแกรมเข้าฉายที่คิดแล้วคิดอีก แม้ในตอนนั้นจะมีหลายคนหวั่นใจแทนก็ตาม

“มีคนทักว่า โห! ใจกล้าจังเลยเข้าวันที่ 28 มี.ค. กล้าชนกับจีไอโจเหรอ แล้วอีกวีกก็มีคู่กรรม แต่เรามองว่าหน้าหนังผมกับจีไอโจคนละหน้ากัน แต่ก็ห่วงคู่กรรมเพราะกระแสเขาก็แรง”

“แต่ผมมองว่าหนังจะวิ่งดีต้องมีวันหยุดยาว 2 อาทิตย์ พี่มากเข้า 28 มี.ค. วีกที่ 2 เป็นช่วงวันจักรี แล้วอีกวีกก็เป็นสงกรานต์ ถ้าหนังติดลมบนมันจะกินได้ยาวอีก 2 วีก”

นอกจากทำได้ดีในบ้านเรา “พี่มากฯ” ยังเตรียมไปสร้างความบันเทิงนอกประเทศ ทั้งในอินโดนีเซีย, ฮ่องกง, เขมร, ไต้หวัน, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ออสเตรเลีย ส่วนในพม่า, เวียดนาม และลาว อยู่ในขั้นตอนการพูดคุย

โดยประเทศเหล่านี้ บ้างเคยเป็นคู่ค้ากับจีทีเอชมาก่อน แต่บางส่วนเป็นหน้าใหม่ที่สนใจ “พี่มากฯ” เพราะมีรายได้สูงเป็นอันดับหนึ่งการันตี

ซึ่งวิสูตรว่า ปรากฏการณ์ “พี่มากฯ “ครั้งนี้ นอกจากให้ประสบการณ์ต้นสังกัด ยังสอนคนทำหนังไทยให้คิดใหม่ เพราะพิสูจน์ให้เห็นว่า “1.วันใดที่ทำงานมีคุณภาพ 2.คนรู้จักกันดี 3.เนื้อในให้ความบันเทิงอย่างเต็มที่ คนดูอาจเกินกว่าที่คุณคาดคิดไว้ในใจ”

“ถ้าทำคอนเทนต์ดีมันมีโอกาสที่จะกระจายไปยังสื่อต่างๆ เยอะมาก”

ทั้งยังมีต่อยอดไปยังธุรกิจอื่น ทั้งเพลงประกอบภาพยนตร์, สินค้าที่ระลึก ฯลฯ อย่างที่จีทีเอชทำอยู่

แต่ใช่ว่าพอทำเงินสูงสุดแล้ว “พี่มากฯ” จะกลายเป็นต้นแบบหนังเรื่องอื่นๆ ของค่ายนี้

เพราะหัวเรือใหญ่ว่า “เราทำงานเน้นคุณภาพและเน้นงานแปลกใหม่”

“แล้วก็รู้ว่านี่คือโลกแห่งความจริงที่ต้องมีการพัฒนาครีเอตแนวคิดใหม่ๆ แต่วันข้างหน้าจะแจ๊กพ็อตแบบนี้อีกหรือไม่ มันไม่ใช่คำตอบแล้ว”

“ขอแค่ทำงานของเราให้ดีที่สุดก็พอ”

ที่มา : นสพ.มติชน (1071)

Comments are closed.