โรงแรมแห่ผุด 3 ดาว รับนักท่องเที่ยวระดับกลางโต

ทุนไทย-เทศแห่ลงทุนโรงแรม 3 ดาว รองรับนักท่องเที่ยวระดับกลางพุ่ง ออนิกซ์ฯชูแบรนด์ “โอโซ-ชามา” หัวหอกหลัก “เซ็นทารา” ปั้น “โคซี่” เสริมฐานตลาดล่าง “ดิ เอราวัณ กรุ๊ป” ส่งฮ็อบ อินน์ กวาดตลาดล่าง หลังลุยเปิด ไอบิส-ฮอลิเดย์อินน์ ชี้ที่ลงทุนน้อย คืนทุนเร็ว

แหล่ง ข่าวจากวงการธุรกิจโรงแรมเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผลจากการเติบโตของสายการบินต้นทุนต่ำ หรือโลว์คอสต์แอร์ไลน์ อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมรายใหญ่เกือบทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มทุนในประเทศและต่างประเทศหันมาโฟกัสการลงทุนโรงแรมระดับ 3 ดาว และ 4 ดาว รวมถึงกลุ่มบัดเจ็ตโฮเต็ลเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เพื่อรองรับกับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เน้นในเรื่องของความคุ้มค่า คุ้มราคา และกลุ่มที่เดินทางโดยโลว์คอสต์แอร์ไลน์ที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นใน อัตราที่สูงมาก อาทิ กลุ่มเซ็นทารา ที่ประกาศจะส่งแบรนด์โคซี่ ที่เป็นแบรนด์ระดับกลางเข้ามาเสริม ขณะที่กลุ่มดิ เอราวัณ กรุ๊ป ที่เดิมเน้นโรงแรมระดับไฮเอนด์ก็หันมาเพิ่มน้ำหนักกับแบรนด์ไอบิส สำหรับเจาะตลาดระดับกลางมากขึ้น และล่าสุดได้เปิดตัวแบรนด์ ฮ็อบ อินน์ สำหรับเจาะตลาดต่างจังหวัดเพิ่มเข้ามาด้วย ฯลฯ

ทั้งนี้จากรายงานของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (ทอท.) ระบุว่า จากการเก็บตัวเลขผู้โดยสารผ่านท่าอากาศยานหลักทั้ง 6 แห่งของ ทอท. เมื่อปี 2556 ที่ผ่านมา พบว่าสายการบินต้นทุนต่ำ เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 30.79% เมื่อเทียบกับปี 2555 ขณะที่ปี 2555 เติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2554 ถึง 15.28%

แหล่ง ข่าวรายนี้ยังระบุด้วยว่า นอกจากการรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เน้นความคุ้มค่า คุ้มราคา เหตุผลสำคัญที่ทำให้โรงแรมรายใหญ่หันมาลงทุนโรงแรมระดับ 3 ดาว หรือบัดเจ็ตโฮเต็ลดังกล่าว เนื่องจากการลงทุนโรงแรม 3 ดาวจะใช้งบฯลงทุนต่ำ และสามารถคืนทุนได้เร็ว เมื่อเทียบกับการลงทุนโรงแรมระดับ 5 ดาว หรือ 6 ดาว

“แม้ ว่าการแข่งขันของโรงแรมระดับ 3 ดาวในขณะนี้ สถานการณ์ค่อนข้างจะรุนแรง แต่จากแนวโน้มของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มคนระดับกลางและระดับล่างที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นในอัตราสูง จึงทำให้สามารถทำวอลุ่มได้มากกว่า”

นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารโรงแรมแบรนด์อมารี กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงทิศทางการลงทุนว่า จะให้น้ำหนักกับการลงทุนในกลุ่มโรงแรมระดับ 3 ดาว และ 4 ดาวมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาดนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนมาเป็นกลุ่มคน ระดับกลางมากขึ้น โดยจะลงทุนในแบรนด์โอโซ และชามา ที่เป็นแบรนด์ระดับ 3 ดาว และแบรนด์อมารี ซึ่งเป็นแบรนด์ 4 ดาวเป็นหลัก

อย่างไรก็ตามในส่วน ของตลาดไฮเอนด์ที่มีแบรนด์โอเรียนเต็ล และโอเรียนเต็ล เรสซิเดนท์ ก็จะยังคงลงทุนต่อเนื่องเช่นกันเพียงแต่จะลงทุนในปริมาณที่น้อยลง เนื่องจากเป็นโครงการที่ใช้เงินลงทุนที่สูง และค่าบำรุงรักษาก็สูงเป็นเงาตามตัวด้วย ที่สำคัญคือเป็นตลาดที่ขยับราคาขึ้นยาก ต้องใช้เวลานานเป็น 10 ปีสำหรับการคืนทุน

“แบรนด์ที่ไปได้ดีในอนาคต คือ แบรนด์ระดับ 3 ดาว แม้การแข่งขันจะสูง แต่ทำตลาดง่ายกว่า และใช้เวลาในการคืนทุนได้เร็วกว่าด้วย” นายยุทธชัยกล่าว

ด้านนายธีระ ยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา เปิดเผยว่า นอกจากแบรนด์เซ็นทาราที่เน้นจับตลาดระดับ 3 ดาวแล้ว ขณะนี้ยังได้เปิดตัวแบรนด์ “โคซี่” เพื่อเจาะตลาดอีโคโนมีโฮเต็ล ด้วยราคาห้องพักเฉลี่ย 1,000-1,200 บาท/คืน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบ แต่ขนาดห้องจะเล็กลง โดยจะเริ่มก่อสร้างภายในปี 2557 ประมาณ 3-4 แห่งที่กรุงเทพฯ เกาะสมุย และภูเก็ต คาดเปิดให้บริการได้ในปี 2558

ขณะ ที่นายชนินทธ์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า กลุ่มดุสิตฯอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อจะสร้างแบรนด์ 3 ดาวของดุสิตฯเอง ตลาดนี้เป็นตลาดที่มีดีมานด์สูง และยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะตลาดจีน อินโดนีเซีย และอินเดีย และคาดว่าจะเห็นโรงแรม 3 ดาวแห่งแรกของดุสิตฯ ในปี 2558

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ในกลุ่มแอคคอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งปัจจุบันมีโรงแรมในเครือ 51 แห่ง ก็ยังเดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง โดยมีแบรนด์โนโวเทล และไอบิส รองรับตลาดระดับกลาง

เช่นเดียวกับ นางสาวกันยะรัตน์ กฤษณเทวินทร์ รองกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่กล่าวว่า ขณะนี้ได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนในโรงแรมระดับกลางและโรงแรมชั้นประหยัด เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่เห็นแนวโน้มว่าโรงแรมระดับกลางและชั้นประหยัดมีทิศทางการขยายตัว ที่สูงมากในช่วงปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้มีแผนจะลงทุนเพิ่มอีกราว 2,600 ล้านบาท สำหรับเปิดโรงแรมใหม่อีก 13 แห่ง โดยจะเน้นลงทุนในแบรนด์ไอบิส, เมอร์เคียว และฮอลิเดย์อินน์

นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ฮ็อบ อินน์ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาเอง พร้อมวางโพซิชันนิ่งไว้ที่ระดับ 2 ดาวอีก 10 แห่ง คาดว่าจะเริ่มทยอยเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2557 นี้ 5 แห่ง และในไตรมาส 4 อีก 5 แห่ง

“การลงทุนในโรงแรมระดับกลางและชั้นประหยัด ทำให้เราใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก แต่สามารถคืนทุนได้เร็ว” นางสาวกันยะรัตน์กล่าว

ที่มาของบทความ

(1330)

Comments are closed.